- Homepage
- เคล็ดทางจิต "ความว่างก็คือรูป"
บอร์ด ความรัก,เคล็ดทางจิตquotความว่างก็คือรูป ประสบการณ์ช.. โพสท์โดย มารคัสเคล็ดทางจิต "ความว่างก็คือรูป"////"การทำตัวแบบไหน ก็ถือว่าเราเป็นแบบนั้นไปครึ่งทางแล้ว"นี่คือเคล็ดคำสอนที่รวบรัดที่สุดของการเป็นยอดคน......สี่ปีก่อน ... ตอนบ่ายแก่ๆของวันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561(2018)ณ ศาลาริมน้ำ(ศาลามังกรวารี) ในอาศรมเทพมังกร จังหวัดชัยภูมิผมซาบซึ้งและตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเมื่อก้าวขึ้นไปบนศาลาริมน้ำในอาศรมเทพมังกรเป็นครั้งแรกท่านอาจารย์ในดงรอผมอยู่ที่นั่นแล้วในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมานี้ ท่านอาจารย์ในดงได้บรรจงสร้างศาลาริมน้ำหลังนี้เพื่อมอบให้ผมเป็นที่ระลึกผมพบท่านอาจารย์ในดงครั้งแรกที่นี่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2558 (2015) แบบ "ธรรมะจัดสรร" อย่างเหลือเชื่อหลังจากนั้นจนถึงวันนี้ผมได้ช่วยท่านอาจารย์ในดง "เนรมิต" ที่นี่ให้กลายเป็นอาศรมเทพมังกรผ่านกระบวนการกลายเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ฤาษีปิ่นทอง(เซียนปิ่นทอง) ซึ่งเป็นจิตอมตะและเป็นภาคหนึ่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร (หลวงปู่ใหญ่)โดยช่วงนั้นผมได้พาชาวชมรมมังกรธรรมมาอัญเชิญมณีหรือแก้วบารมีเสด็จอจินไตยในดอกบัวในบาตรที่ลานธรรมของอาศรมนี้ไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้งทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ผมได้เห็นการก่อรูปก่อร่างของอาศรมเทพมังกรแห่งนี้เป็นลำดับด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านอาจารย์ในดงล้วนๆบนเส้นทางจิตวิญญาณสามสิบปีของผม ยกเว้นตำหนักของเสด็จเตี่ยซึ่งเป็นคุรุเทพของผมแล้วที่นี่คือ สถานที่ที่สร้างผลสะเทือนทางจิตวิญญาณต่อตัวผมอย่างลึกซึ้งถึงที่สุดสุดยอดของธาตุกายสิทธิ์หรือมณีซึ่งเป็นแก้วบารมีประเภทต่างๆที่เสด็จอจินไตยมาในดอกบัว ผมก็ได้จากที่นี่แห่งเดียว มิหนำซ้ำผมเป็นคนมาอัญเชิญด้วยตนเองทั้งสิ้นรวมทั้งมณีหลายองค์ที่ท่านอาจารย์ในดงเป็นคนมอบให้ตัวผม ในฐานะที่ผมเป็นทายาททางธรรมหรือศิษย์เอกทางธรรมของเซียนปิ่นทองในยุคนี้กระบี่มังกรทองที่หลอมจากผงพระธาตุทองด้วยพลังจิตและอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ใหญ่ภาคฤาษีปิ่นทองให้ผมก็เกิดขึ้นที่นี่นอกจากนี้การกลืนพระธาตุทองเข้าตัวผมตามวิชาพุทธกายสิทธิ์กว่าสามสิบหกองค์ในช่วงสองปีแรกก็เกิดขึ้นที่นี่เช่นกันถ้าตัวผมมิได้ผ่านการกลืนพระธาตุทองที่เป็นสุดทอดธาตุกายสิทธิ์จำนวนมากเข้าร่างมาก่อน ตัวผมย่อมไม่มีทางทำ พิธีทางทางจิตเพื่อบ้านเมือง ในปี 2019, ปี 2020, ปี 2021 ได้สำเร็จเป็นอันขาดโดยที่ผมจะทำในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 2022 อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เข้าสู่ช่วงนับเวลาถอยหลังแล้ว......เรือนริมน้ำหลังนี้ ท่านอาจารย์ในดงอุตส่าห์ไปหาเถาวัลย์ "นาคารัดสมบัติ"จากในป่ามาตกแต่ง นอกจากนี้ท่านอาจารย์ในดงยังได้เอาเหล็กไหลสุริยันเจ็ดสีรูปทรงหลวงปู่ใหญ่ที่ท่านได้มาจากถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีเมื่อหลายปีก่อนมาวางบนพานเบื้องหน้าผมเพื่อเป็นสักขีในพีธีมอบศาลาริมน้ำหลังนี้ให้แก่ผมด้วยพลันที่ผมเอามือแตะเหล็กไหลสุริยันราชาเจ็ดสีรูปทรงหลวงปู่ใหญ่บนพาน ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบราวกับเพิ่งออกมาจากการแช่ตู้เย็นของเหล็กไหลก้อนนี้ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังสูดได้กลิ่นหอมละมุนรอบๆบริเวณที่ผมนั่งสมาธิอยู่เบื้องหน้าพานเหล็กไหลสุริยันราชาเจ็ดสีอีกด้วยกลิ่นนั้นหอมยิ่งกว่ามะลิแต่มิใช่กลิ่นมะลิหรือกลิ่นน้ำหอมทั่วไปกลิ่นหอมแบบนี้ผมเคยได้กลิ่นมาแล้วในอดีต ยามที่องค์วิษณุนารายณ์ส่งสัญญาณมาให้ผมรับรู้ล่วงหน้าว่าท่านจะลงมาเจอผมเป็นครั้งแรกผ่านร่างทรงของเสด็จเตี่ย ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ.1999) หรือเมื่อ 23 ปีที่แล้วจิตผมรวมเป็นสมาธิอย่างรวดเร็ว ขณะที่ท่านอาจารย์ในดงให้ผมกำมณีที่เป็นแก้วมังกรเหล็กวัชรธาตุซึ่งเป็นมณีที่เสด็จมาเป็นองค์แรกๆในรัชกาลที่สิบ พร้อมกับกล่องไม้ขีดโดยผูกโยงกับสายสิญจน์ที่คล้องกับเหล็กไหลสุริยันราชาเจ็ดสีรูปทรงหลวงปู่ใหญ่บนพานด้วยพอผมออกจากสมาธิ ท่านอาจารย์ในดงได้ทดสอบไม้ขีดไฟจากกล่องไม้ขีดที่ผมเพิ่งกำพร้อมกับแก้วมังกรเหล็กวัชรธาตุปรากฏว่าจากจำนวนไม้ขีดไฟทั้งหมด 50 ก้าน มีถึง 44 ก้านที่จุดไม่ติดเมื่อประจักษ์ถึงอานุภาพของเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์แล้ว ท่านอาจารย์ในดงจึงมอบเหล็กไหลสุริยันราชาเจ็ดสีรูปทรงหลวงปู่ใหญ่ให้แก่ผม เพื่อผมจะได้เอาไปตั้งในห้องพระเพื่อใช้เจริญกรรมฐานควบคู่กับมณีต่อไปผมไม่เคยสงสัยตัวเองเลยว่าการที่ตัวผมได้เตรียมตัวฝึกฝนตนมาทั้งชีวิต ก็เพื่อถูก "เบื้องบน" เลือกให้มาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ (พิธีทางจิตเพื่อบ้านเมือง) นั่นเอง......แม้แต่ตัวผมเองก็ยังตระหนักรู้ด้วยใจว่า จิตผมมีความรุดหน้าของมันเองจากภายในตามลำดับ จนกลายเป็นว่าระหว่างช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ยาวนานเข้าสู่ปีที่สามที่ผมเลือกกักตัวเองภาวนาปฏิบัติธรรมศึกษาธรรมอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่จิตของผมมีความรุดหน้ายิ่งขึ้นไปอีกการนั่งกรรมฐานทุกวันต่อหน้าพระพุทธรูป "พระศรีอริยเมตไตรย" ที่เป็น "พระประธาน" ในห้องกรรมฐานที่เรือนมังกรซ่อนของผม กลายเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตของผมพระพุทธูปพระศรีอริยเมตไตรยหน้าตัก 21 นิ้วองค์นี้ ผุดขึ้นมาแบบอจินไตยที่บ่อน้ำ ในวัดป่าประชาสามัคคีธรรม อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคามเมื่อแปดปีก่อน (ปี 2014) และได้มาประดิษฐานที่บ้านของผมตั้งแต่บัดนั้นช่วงหลังๆผมมักพิจารณาข้อธรรมต่างๆในห้องกรรมฐานเสมอ ยกตัวอย่างเช่น"ในการเจริญวิถีจิตจิตรู้ต้องอยู่ภายในจึงจะสามารถเจริญปัญญาได้เคลื่อนจิตรู้มาอยู่ที่ตา-จักษุวิญญาณตาเห็นรูป-ผัสสะวิญญาณแล้วจบลงตรงคำว่าจิตนี้ปรุงหรือไม่?มองนอก แล้วก็มองในตามองไปข้างหน้าพร้อมใจแล้วก็มามองข้างในว่าปรุงหรือไม่?ไม่ปรุงก็มองต่อมองนอกแล้วก็มองในปรุงหรือไม่?แล้วก็มองต่อตานอก คือจักษุประสาทตาใน คือวิญญาณการรับรู้ถ้าจะเจริญปัญญาในวิถีแห่งจักษุวิญญาณก็ให้เลือกมองสิ่งที่ชอบแล้วดูว่าจิตนี้ปรุงหรือไม่?ถ้าฝึกมองกระดาษสีขาวกับมองดอกไม้จนไม่ต่างกันเลย นั่นแหละคือไม่ปรุง" (หลวงปู่พุทธะอิสระ).........คืนหนึ่งเมื่อสี่ปีก่อนอยู่ดีๆ ผมก็มีตัวรู้ขึ้นมาเองว่า คำสอนในคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร (Heart Sutra) ของมหายาน น่าจะใกล้เคียงกับคำสอนของพระศรีอริยเมตไตรยที่สุด"รูปไม่ต่างจากความว่าง และ ความว่างไม่ต่างจาก รูป"( 色 不 異 空, 空 不 異 色)"รูปก็คือความว่าง และ ความว่างก็คือรูป"(色 即 是 空, 空 即 是 色)ฝึกดูจิต ดูเจตสิก ดูรูป จนเห็น อนัตตา (無)จากนั้นเจริญกรรมฐานในการดูจิต ดูเจตสิก ดูรูปจนเข้าถึง สุญญตาหรือความว่าง (空)นี่คือการบำเพ็ญจิตตภาวนาในขั้น "รูปไม่ต่างจากความว่าง จนกระทั่ง รูปก็คือความว่าง"นี่คือ โลกทัศน์ของพระโพธิสัตว์สายปัญญาบารมี และ คงเป็นโลกทัศน์ของพระศรีอริยเมตไตรยด้วยเนื่องเพราะการเจริญอนัตตา (無) เป็น โลกทัศน์และวิถีของพระอรหันต์ขณะที่การเจริญความว่าง (空) เป็น โลกทัศน์และวิถีของพระโพธิสัตว์ รวมทั้งพระพุทธะทั้งหลายการทำความเข้าใจว่า "รูปไม่ต่างจากความว่าง รูปก็คือความว่าง" นั้นเป็นสิ่งที่ยากอยู่แล้วสำหรับคนทั่วไปอยู่แล้วแต่การจะทำความเข้าใจความหมายของ "ความว่างไม่ต่างจากรูป ความว่างก็คือรูป" นั้นยิ่งยากเข้าไปอีกทั้งนี้เพราะแก่นแท้แห่งคำสอนของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์รวมทั้งพระศรีอริยเมตไตรยนั้นส่วนที่สำคัญที่สุดมิได้อยู่ที่ "รูปก็คือความว่าง"แต่อยู่ที่ "ความว่างก็คือรูป" ต่างหาก!คนเราทุกคน สรรพสัตว์ทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งปวง และตัวจักรวาลนี้ ล้วนเป็น "รูป" ที่เกิดมาจากมหาสุญญตา หรือความว่างทั้งสิ้นความว่างคือธาตุแท้ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเพราะฉะนั้น คนเราทุกคนย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ เพราะ"ความว่างก็คือรูป"ผู้ที่มีพลังจิตย่อมสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตตนเองและผู้อื่นได้ ภายใต้กฏของไตรลักษณ์เนื่องเพราะ "ความว่างก็คือรูป"ความว่างย่อมสามารถก่อให้เกิดรูปอะไรขึ้นมาก็ได้จะเห็นได้ว่า "ความว่างก็คือรูป" ย่อมเป็นชีวทัศน์ (人生観) ของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ รวมทั้งพระศรีอริยเมตไตรยด้วยโดยที่ "รูปก็คือความว่าง" คือโลกทัศน์ (世界観) ของ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายชีวทัศน์จาก "ความว่างก็คือรูป" ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนี้ ย่อมแสดงออกมาในชีวิตประจำวันและทุกลมหายใจเข้าออกของผู้นั้นที่ผ่านกรรมโยคะ (Selfless Action) ซึ่งมีสองแบบให้พระโพธิสัตว์เลือกได้ คือหนึ่ง เราจะเลือกเดินหมาก "กรรมโยคะ" เฉพาะหน้าเป็นหมากเล็กๆทุกหมากแบบนักบุญหรือสอง เราจะเลือกเดินหมาก "กรรมโยคะ" แบบนักกลยุทธ์ผู้เป็นนักรบแห่งแสง ที่มุ่งวางหมากใหญ่แบบหมากหัตถ์เทวะเป็นหลัก เพื่อพลิกสถานการณ์โดยรวมของกระดานทั้งกระดานให้จงได้ในตอนนั้นจิตของผมพลันกระจ่างเพราะรู้จักตัวตนและทางเลือกของตัวเองอย่างชัดเจน และเข้าถึงเคล็ดทางจิตเรื่อง "ความว่างก็คือรูป" ได้เองสุวินัย ภรณวลัย